วิวัฒนาการ "เดรส" แต่ละยุคสมัย

04:16

สิ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่น 

1) ยุคอาณานิคม หรือรีเจนซี่ (ค.ศ.1795-1815)

เหตุการณ์ : ยุคนี้เป็นยุคที่มีการปฏิวัติในอเมริกาและฝรั่งเศษ 
ลักษณะชุด : ออกแนวกรีกโบราณ เนื่องจากเชื่อว่าแสดงให้เห็นถึงประชาธิปไตย
นิยมใส่ชุดยาวๆ เอวสูงแบบรัดใต้อก ผ้านุ่มๆ บางๆ พริ้วๆ เป็นผ้าฝ้าย  มัสลิน หรือผ้าไหม
 ใครมีฐานะหน่อยก็จะนิยมใส่ชุดสีขาว ใครฐานะต่ำลงมาจะนิยมใส่สีพาสเทล เนื่องจากสีขาวเปื้อนง่าย 
นอกจากนั้นยังนิยมใส่ถุงมือยาวและผ้าคลุมไหล่

ภาพจากTurkrazzi.com
ภาพจากRopiofsicon.com
ภาพจากJaneaustenismyquence.tumblr.com

ภาพจากmy-ear-trumpet.tumblr.com

ภาพจากdarcylicious.tumblr.com

ภาพจากtor.com


2) ยุคโรแมนติก  (1815-1840) 

 เหตุการณ์:  หลังสงครามผ่านพ้น ศิลปินและนักปราชญ์ต่างหันมาบ้าศิลปะโรแมนติก ผู้คนต่างหันมาบ้าการแต่งกายแบบอังกฤษจ๋า (เรียกอีกอย่างว่า แองโกลมาเนีย Anglomania) ผู้หญิงถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และสวยงามชอบการแต่งตัว
ลักษณะชุด :  ไหล่ลู่ลง เอวคอดรัดติ้วด้วยคอร์เซต สะโพกผาย กระโปรงพองอลังการณ์ เน้นความเป็นสตรีเพศ ตกแต่งประดับประดาหรูหรา 
ทรงผม : แฟชั่นทรงผมและหมวก ใหญ่โต แบบขนดอกไม้มาทั้งสวน

ภาพจากsusannaives.com

ภาพจากsusannaives.com

ภาพจากwhattheywore.tumblr.com

ภาพจากhoop-skirts-and-corsets.tumblr.com



3) ยุควิคตอเรียนตอนต้น (1840-1870)

 เหตุการณ์:  ปี 1837 พระราชินีวิคตอเรียขึ้นครองราชย์  เธอเป็นต้นแบบของผู้หญิงแบบถ่อมตน  อุทิศตนเพื่อครอบครัว  ยึดมั่นในศีลธรรม รสนิยมเธอเป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆ ยุคนั้นแต่งตัวตาม 
ลักษณะชุด : ไหล่แคบและลู่ลง  ลำตัวแคบมากด้วยการรัดคอร์เซ็ต กระโปรงบานพอควร  ยาวกรอมพื้น  และค่อยๆ พองขึ้นเรื่อยๆ ตามยุคสมัยที่ผ่านไป การแต่งตัวในยุคนี้จะค่อยข้างน่ารัก และมักถูกนำไปลประยุกต์กับการแต่งตัว  คอสเพลย์แนวโลลิต้า
ทรงผม : นิยมใส่หมวกแบบ deep bonnets  ซึ่งเป็นหมวกปกปิดหน้า จะมองเห็นหน้าเต็มเมื่อหันหน้าเข้าหากันตรงๆ เท่านั้น   เป็นการแสดงถึงความถ่อมตัว

ภาพจากsandtiqueraerprint



ภาพจากfuckyeahcostumedramas.tumblr.com
ภาพจากeveryjoe.com


ภาพจากfuckyeahcostumedramas.tumblr.com

ภาพจากvilla-rossie.tumblr.com


4) ยุควิคตอเรียนตอนปลาย  (1870-1890)

เหตุการณ์:  พระราชินีวิคตอเรีย สามีเสีย เธอเลยเก็บตัวและใส่แต่ชุดดำ  สีดำตึงเป็นที่นิยมขณะนั้น
ลักษณะของชุด : เริ่มเน้นสัดส่วน  แต่ก็ปกปิดร่างกายในเวลาเดียวกัน จะเห็นว่าช่วงบนเข้ารูปมากขึ้น สีเข้มมาแรง
เปลี่ยนแปลงจาก สุ่ม  มาใส่ "ที่ถ่างกระโปรง" ( bustle)  ลักษณะเหมือนกระโปรงของตัวอิจฉาในซินเดอเรลล่าค่ะ  ทำให้กระโปรงจะไม่กางรอบด้านเหมือนแบบเดิม  แต่จะถูกดันไปด้านหลังแทน
- ช่วงแรก เป็นแบบ soft bustle ใส่แล้วก็พองๆ  น่ารักดี
ภาพจากPlaybuzz

- ช่วงหลังหันมานิยม hard bustle ใส่แล้วเหมือนม้าเดินมากกว่าคน
ภาพจากRopeandteam.tumblr.com

ภาพจากcostuemtruhe.de

ภาพจากSteamplunk-girl.trumblr.com



5) ยุคอาร์ตนูโว (1890-1911)

เหตุการณ์:  ยุคทองของชนชั้นสูงผู้มีอันจะกิน  ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย การตกแต่งเว่อร์ๆ เวียนกลับมา ยุคนี้ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น  เริ่มทำงาน  มีส่วนในกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ
ลักษณะชุด : แนวใส่สบายมากขึ้น  ไหล่ของชุดตั้งตรงสง่าผ่าเผย ไม่ลู่ลงแบบแต่ก่อนแล้ว  มีการตัดชุดสูทแบบกระโปรง ยังใส่คอร์เซ็ต แต่มีการเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับสรีระมากขึ้น

ภาพจากwhat-i-found.blogspot.com 

ภาพจากgogmsite.net

ภาพจากgallica.bnf.fr

ภาพจากatelierdejojo.com

6) ยุค 1910s - WWI (1911-1919)

เหตุการณ์: เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขนานใหญ่  เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ชายไปรบ  ทำให้ผู้หญิงต้องมาทำหน้าที่หลายอย่างแทนผู้ชาย 
ลักษณะชุด : ด้วยกระแสสงครามโลก ทำให้ชุดมีลักษณะของแนวทหาร เข้ามาผสมผสาน สังเกตจากคอเสื้อ และปกเสื้อแบบทหาร  กระโปรงสั้นลงเล็กน้อย ต่อมากระโปรงเริ่มแคบลงๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
เครื่องประดับไม่ค่อยใส่  เรียกว่าเน้นการใช้งานมากกว่า


ภาพจากfashiningnostalgia.blogspot.com

ภาพจากetsy.com

ภาพจากamy jeanne flickr

ภาพจากladderrungs.files.wordpress.com

7) ยุคแฟลปเปอร์ (Flapper) ปี ค.ศ. 1920 – 1930 
เหตุการณ์: สงครามสงบ เข้าสู่ยุค Jazz Age เป็นยุคของคนรุ่นใหม่และหนุ่มสาว  ซึ่งขึ้นมารุ่งเรือง มีฐานะ   ผู้หญิงที่เคยทำงานช่วงสงครามก็ไม่อยากกลับไปเป็นแม่บ้านอีก  ยังคงทำงานต่อไป และมีอิสระเสรีมากกว่าเดิม
ลักษณะชุด :  ผู้หญิงเริ่มสวมกระโปรงสั้นเป็นครั้งแรก ชุดที่มาแรงสุดๆ  เป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้คือ "Flapper dress"  เป็นชุดลำตัวตรง หน้าอกแบนเป็นไม้กระดาน  กระโปรงสั้นลง มีการรัดหน้าอกด้วยเสตย์  เพราะเชื่อว่า หน้าอกแบนๆ กับผมสั้นกุดเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนุ่มสาว
ภาพจากvintagedancer.com

ภาพจากmarrie claire uk

ภาพจากstageBoutique



8) ยุค 1930s (1930 -1939)

เหตุการณ์: เหมือนยุคที่แล้ว หนุ่มสาวเบ่งบาน ช่วงนี้มีเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำด้วย  แต่ไม่กระทบกับผู้มีอันจะกิน  พวกนั้นก็เฮฮาปาร์ตี้  แต่งตัวกันต่อไป  คนฮิตสาวสปอร์ต สุขภาพดี  ผิวแทน  ผมบลอนด์
วิทยาการใหม่ๆ ถูกคิดค้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าไนลอน ผ้าเรยอง ซิป ศัลยกรรมพลาสติก การดัดผม ฯลฯ 
ลักษณะชุด :ชุดโดยรวมมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น  ทรวดทรงเข้ารูป  กระโปรงพลีทก็ฮิต
ชุดเริ่มหลากหลาย
ทรงผม นิยมทรงผมดัดดูน่ารัก  กับหมวกปีกกว้างแบบสาวหวาน
ยุคนี้เริ่มแบ่งชุดกลางวันกับกลางคืนออกจากกัน   อันนี้เป็นเพราะสาวสมัยก่อนหน้านั้นอยู่กับบ้าน  แต่งตัวสวยทั้งวัน  แต่สาวสมัย '30s มีงานยุ่งขึ้น  ชุดกลางวันจึงเป็นแบบเรียบๆ  ส่วนกลางคืนก็หรูหราไฮโซกันไป  ชุดที่เป็นสัญลักษณ์คือเดรสยาวคอวี โชว์หลัง (คนนิยมไปอาบแดด ให้หลังสีแทน จะได้มาใส่ชุดโชว์)

9) ยุค 1940s (1940 -1949)

เหตุการณ์: สงครามโลกครั้งที่สอง  ภาวะขาดแคลน  ต้องใช้ระบบปันส่วนอาหาร เสื้อผ้า  จากนั้นสงครามสิ้นสุดลงในยุคนี้ด้วย
ลักษณะชุด : เสื้อตัดให้เข้ากับการใช้งาน  สีทึมๆ แห้งๆ ใส่เหมือนๆ กันไปหมด  กระโปรงแคบๆ  แฟชั่นไม่ค่อยพัฒนา
ทรงผม : ผ้าคาดกันฝุ่นเวลาทำงานกลางวัน และรองเท้าพื้นยาง (แนว Keds รุ่นแรกๆ)
 ช่วงจบสงครามใหม่ๆ  ปี 1947 Christian Dior สร้างชื่อด้วย "นิวลุค"  เป็นสูทขนาดฟิตพอดีตัว เข้าเอวคอด กับกระโปรงบาน เป็นที่ฮือฮาเพราะใช้ผ้าเปลืองมากๆ  หลุดคอนเซ็ปต์ประหยัดช่วงสงครามอย่างสิ้นเชิง
ภาพจากlifemaster.ru

ภาพจาก secondhandnew vintage

ภาพจากwhowhatwear

ภาพจากfleetingkeys.tumblr.com

ภาพจากindulgy.com

ภาพจากhanneli.com

ภาพจากwhat-i-found.blogspot.com

10) ยุค 1950s (1950 -1959)

เหตุการณ์: เศรษฐกิจรุ่งเรืองขึ้น ชนชั้นกลางและคนทั่วไปเริ่มมีเงิน  ยุคห้าศูนย์นี้วัยรุ่นเป็นมีเทรนด์แฟชั่นเป็นของตัวเองแล้ว   
ลักษณะชุด : ช่วงแรกๆ ฮิตกระโปรงทรงดินสอแคบเข้ารูป    แบบภาพด้านบน
ยุค '50s มีสัญลักษณ์ที่โดดเด่นอีกอย่างคือ  กระโปรงบ๊านบาน ความยาวคลุมเข่า ข้างในกระโปรงเสริมผ้าตาข่ายหลายๆ ชั้น  เน้นทรวดทรงองค์เอว
ข้างบนเป็นภาพตัวอย่างนะคะ จะเห็นว่ากระโปรงมีสองแบบ   น่ารักมากหลายชุดเลย ว่าไหม?
ชุดชั้นในยุคนี้บางและใส่สบายขึ้น  ราคาก็ถูกลง เพราะใช้ผ้าไนลอนซึ่งเป็นวิทยาการใหม่  ดูไปคล้ายๆ กับของปัจจุบันแล้ว

ตัวอย่างจากยุคนี้: 
Elvis Presley ฮิตไม่มีใครเกิน  เป็นตัวแทนความเท่ของวัยรุ่นชายยุคนี้



Marlon Brando จากหนังเรื่อง "The Wild One" (1953) ลุคนี้แหละภาพหนุ่ม '50s เลย เสื้อหนังกับกางเกงยีนส์และผมทรงรีเจ้นท์  ยุคนี้ผ้ายีนส์ถูกคิดค้นและฮิตติดตลาด

มาดูฝั่งดาราสาวกันบ้าง Audrey Hapburn จากเรื่อง "Sabrina"  ชุดนี้เป็น '50s จัดๆ เลย

ฉากคุ้นตาจากเรื่อง "Breakfast at  Tiffany's" ช่วงห้าศูนย์นี่เป็นยุครุ่งโรจน์ของเธอเลย

อีกคนนึงก็ Elizabeth Taylor  แฟชั่นผม และการแต่งหน้าแบบนี้ สุดฮิตช่วงนั้นค่ะ


ภาพจากaugustaauctions.tumblr.com


ภาพจากmalena-solis.tumblr.com

ภาพจากRajni Chauhan

11) ยุค 1960s (1960 -1969)

เหตุการณ์:  สืบเนื่อง จากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  พอสงครามจบ คนก็มีลูกหลานกันมากมาย (รุ่นพ่อแม่สมัยนี้จึงถูกเรียกว่า Baby boomers) ลูกหลานเหล่านั้นก็โตทันใช้ในยุคนี้  กลายเป็นกลุ่มวัยรุ่นกว่า 70 ล้านคนที่หลงไหลแฟชั่น  ทางด้านวิทยาการต่างๆ ทั้งศิลปะ  ดนตรี ก็พัฒนา  เศรษฐกิจก็ฟูเฟื่องดี 
ลักษณะชุด :
คีย์ของแฟชั่นยุค 60's มีไม่มากค่ะ เรียกรวมๆ ว่าเป็นแนว "Mod look" (แนวม้อด)
Mod look = มินิสเกิร์ต  หรือเดรส  สีเมทัลลิก ถุงน่องหลากสี  โดยรวมสีสันจัดจ้าน  ลายแนวเรขาคณิตอะไรแบบนี้

ปกเสื้อแบบ Peter pan collar 
หรือที่เรียกกันว่า เสื้อคอบัว ซึ่งสาวๆ วินเทจหลงรัก ก็มาจากยุค 60 จ้า
หลายคนคิดว่ามินิสเกิร์ตเป็นสัญลักษณ์ของทั้งยุค 60s
แต่จริงๆ แล้ว มินิสเกิร์ต  และ ลุคแบบม้อดนั้น เพิ่งจะมาฮิตในช่วงปี 1966 (คือยุค 60 ตอนปลายๆ)
ก่อนหน้านั้นคนยังฮิตแฟชั่นกระโปรงบ๊านบานเท่าเข่าสมัย '50 อยู่

ภาพจากquensofvintage.tumblr.com

ภาพจากfashion-the-60s.tumblr.com

ภาพจากnata leto

ภาพจากnewenglandwoodstock.tumblr.com

ภาพจากforties-fifties-sixties-love.tumblr.com

ภาพจากmiles lamham70s




You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Popular Posts

Like us on Facebook

Instragram Images